บันทึกการเรียนครั้งที่ 2
วัน พุธ ที่ 24 มกราคม พ.ศ.2561
เวลา 12:30 - 15:30 น.
การบริหารสถานศึกษา
ความหมายและความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา
การบริหารการศึกษา แยกออกเป็น 2 คำ คือ การบริหาร และ การศึกษา
ความหมายของ “การบริหาร” มีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย ทั้งคล้ายๆกันและแตกต่างกัน คือ
* การบริหาร คือ
ศิลปะของการทำงานให้สำเร็จโดยใช้บุคคลอื่น
* การบริหาร คือ
การทำงานของคณะบุคคล ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
ที่ร่วมกันปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
* การบริหาร คือ
การที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันทำงาน เพื่อจุดประสงค์อย่างเดียวกัน
** จากความหมายของ
“การบริหาร” พอสรุปได้ว่า “การดำเนินงานของกลุ่มบุคคลเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้”
ส่วนความหมายของ “การศึกษา” มีผู้ให้ความหมายไว้คล้ายๆกัน ดังนี้
* การศึกษา คือ ความเจริญงอกงาม ทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา
* การศึกษา คือ การสร้างเสริมประสบการณ์ให้ชีวิต
* การศึกษา คือ เครื่องมือที่ทำให้เกิดความเจริญงอกงามทุกทางในตัวบุคคล
** จากความหมายของ “การศึกษา” ข้างบนนี้พอสรุปได้ว่า “การพัฒนาคนให้มีคุณภาพ
ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดี”
เมื่อนำความหมายของ “การบริหาร” มารวมกับความหมายของ
“การศึกษา” ก็จะได้ความหมายของ
“การบริหารการศึกษา” ว่า “การดำเนินงานของกลุ่มบุคคล เพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพ
ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดี”
วีรชัย วรรณศรี (2545)
การบริหารสถานศึกษา
หมายถึง กระบวนการต่างๆ ในการดำเนินงานของกลุ่มบุคคล
เพื่อให้บริการทางการศึกษาแก่สมาชิกในสังคมให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
วิโรจน์ สารัตนะ (2546)
กล่าวว่า
การการบริหารเป็นกระบวนการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดหมายขององค์กร
โดยอาศัยหน้าที่ทางการบริหารที่สำคัญประกอบด้วย การวางแผน (Planning)
การจัดองค์กร (Organizing) การนำ (Leading)
และการควบคุม(Controlling)
เฉลิมชัย สมท่า (2547)
กล่าวว่าการบริหารโรงเรียนเป็นกิจกรรมทางการศึกษาที่จะต้องทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ความสำคัญของศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย
สรุปได้ว่า การบริหารสถานศึกษา หมายถึง
ผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้าหรือผู้นำดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กร
โดยใช้กระบวนการบริหารกลุ่มบุคคล กระบวนการต่างๆ
ในการดำเนินงานของกลุ่มบุคคลให้เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำใหม่ เป็นผู้นำทางความคิด
การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การสร้างแรงจูงใจและจัดสรรการใช้ทรัพยากรต่างๆ
ให้เป็นกลุ่มงานที่สัมพันธ์กันอย่างดี
มีกลังคนที่มีความสามารถพร้อมสร้างบุคลากรให้ทำงานได้อย่างถูกต้องเพื่อให้บุคลากรร่วมมือกันพัฒนาคุณภาพของงานภายในสถานศึกษาและให้บริการทางการศึกษาแก่สมาชิกของสังคม
ความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา
จันทรานี สงวนนาม (2545) กล่าวว่า
เพื่อความอยู่รอดขององค์กร การเรียนรู้เพื่อบริหารองค์กร
จะช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดวัตถุประสงค์
เป้าหมายของงานบุคลากรตลอดจนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม
นงลักษณ์ วิรัชชัย (2545)
กล่าวว่า
การปฏิรูปสถานศึกษาจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อผู้บริหารผู้บริหารมีคุณลักษณะต่อไปนี้
คือ มีความสามารถทางการบริหารตลอดจนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม
Mckinson (2550) กล่าวว่า
มนุษย์เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบริหาร
ถึงแม้ว่าคุณค่าของมนุษย์จะเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้และไม่สามารถใช้หลักเกณฑ์กำหนดคุณค่าเช่นเดียวกับวัตถุหรือสินค้าอื่นใด
แต่ก็ยังถือว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่มีค่าและมีเกียรติสูงสุด
สรุปได้ว่า การบริหารสถานศึกษาหรือการบริหารองค์กร สิ่งที่ต้องตระหนักหรือให้ความสำคัญ
คือการบริหารงานบุคคล เพราะบุคคลเป็นทรัพยากรที่มีค่าในองค์กร
ที่สามารถพัฒนาศักยภาพได้ไม่มีที่สิ้นสุด
ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถดำเนินกิจการต่างๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้
ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์กรมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน
เกิดความจงรักภักดีต่อองค์กรที่ปฏิบัติงาน เสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ
นั้นหมายถึงผู้บริหารจะต้องมีความรู้เรื่องการบริหารเป็นอย่างดี
หลักการ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับ
การบริหารสถานศึกษา
หลักการบริหารงานบุคคล
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2545) ให้แนวคิดในการบริหารและการจัดการที่ดี
เพื่อมาปรับใช้ในบริบทขององค์กรทางการศึกษา ในประเด็กดังนี้
1. การกำหนดจุดหมาย ผลที่คาดหวัง หรือภาพความสำเร็จของการบริหารและการจัดการที่ดี
(Goal / Expected / Output)
2. กระบวนการบริหารและการจัดการที่ดี (Process)
4. ระบบควบคุม (Feedback / Control System)
5. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารและการจัดการที่
ขอบข่ายของการบริหาร
กระทรวงศึกษาธิการ (2546) ได้กำหนดขอบข่ายภาระงานในการบริหารงานบุคคลไว้ประกอบด้วย
5 งาน ได้แก่
1. การวางแผนอัตรากำลังและการกำหนดตำแหน่ง
2. การสรรหาและการบรรจุแต่งตั้ง
3. การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ
4. วินัยและการรักษาวินัย
5. การออกจากราชการ
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2545) ได้กำหนดขอบข่ายการบริหารงานบุคคลไว้ประกอบด้วย
6 งาน ได้แก่
1. การวางแผนกำลังคน
2. การสรรหา
3. การบรรจุแต่งตั้ง
4. การพัฒนา
5. การธำรงรักษา
6. การให้พ้นจากงาน
สรุปได้ว่าขอบข่ายของการปฏิบัติงานของสถานศึกษาในการบริหารงานบุคคลนั้นมีภาระงานที่สำคัญๆ
ที่สถานศึกษาควรปฏิบัติ ประกอบด้วย
1. การวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง
โดยมีการวิเคราะห์ภารกิจและประเมินสภาพความต้องการกำลังคน
กับภารกิจของสถานศึกษามีการจัดทำภาระงานสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
และแจ้งภาระงาน มาตรฐานคุณภาพงาน มาตรฐานวิชาชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพ
เกณฑ์ประเมินผลงานแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาก่อนมีการมอบหมายหน้าที่ให้ปฏิบัติงาน
2. การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง โดยมีการดำเนินการสอบแข่งขัน
สอบคัดเลือกและคัดเลือกในกรณีจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษในตำแหน่งครูผู้ช่วย ครูและบุคลากรทางการศึกษาอื่นในสถานศึกษา
การบริหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
(Science and arts)
•
เป็น ศาสตร์ เพราะ มีหลักการ
กฎเกณฑ์ และทฤษฏีที่เชื่อถือได้ เกิดจากการศึกษาค้นคว้าเชิงวิทยาสาสตร์
•
เป็น ศิลป์
เพราะต้องทำงานกับคน ต้องเลือกใช้วิธีการให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ต้องฝึกให้ชำนาญ จึงต้องประยุกต์ใช้อย่างมีศิลป์
ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานศึกษา
ความหมายของทฤษฏี
•
กลุ่มของข้อเสนอ หรือ
ของมโนทัศน์ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
•
เป็นข้อสรุปอย่างกว้างๆ
ทั่วไปที่พรรณนาและอธิบายถึงพฤติกรรมละปรากฏการณ์อย่างเป็นระบบ
ความจำเป็นในการศึกษาทฤษฏี
•
ทฤษฏีเป็นพื้นฐานของการกำหนดสมมติฐานเพื่อทดสอบปรากฏการณ์ที่สังเกตได้
ในเมื่อทฤษฏีอยู่บนพื้นฐานของตรรกวิทยา มีเหตุผลแม่นยำ ถูกต้องแล้ว
การปฏิบัติก็จะมีเหตุผลและถูกต้องเช่นเดียวกัน
•
ทฤษฏีเป็นจุดเริ่มต้นของการวิจัย
โดยกำหนดทิศทางของการวิจัย
ทัศนะดั้งเดิม (Classical viewpoint)
•
การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์
•
การจัดการเชิงบริหาร
•
การบริหารแบบราชการ
1. การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific
management
Frederick. W. Taylor (เทเลอร์) บิดาแห่งการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์
ได้เสนอ หลัก 4 ประการ
1. ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ มีการแยกวิเคราะห์งาน
2. มีการวางแผนการทำงาน
3. คัดเลือกคนทำงาน
4. ใช้หลักการแบ่งงานกันทำระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ
2.ทฤษฏีการจัดการเชิงบริหาร (Administration
management)
Henry Fayol : หลักการบริหาร 14 หลักการ
และขั้นตอนการบริการ POCCC
Chester Barnard : ทฤษฏีการยอมรับอำนาจหน้าที่
Luther Gulick : ใช้หลักการของ
Fayol โดยใช้คำย่อว่า POSDCoRB
ซึ่งเป็นหน้าที่
7 ประการ
3.ทฤษฏีการบริหารแบบราชการ (Bureaucratic
management)
Max Weber พัฒนาหลักการจัดการแบบราชการ
1. มีกฎระเบียบข้อบังคับเพื่อควบคุมการตัดสินใจ
2. ความไม่เป็นส่วนตัว
3. แบ่งงานกันทำตามความถนัด ความชำนาญเฉพาะทาง
4. มีโครงสร้างการบังคับบัญชา
5. ความเป็นอาชีพที่มั่นคง
6. มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจ โดยมีกฎระเบียบรองรับ
7. ความเป็นเหตุเป็นผล
ข้อเสียของระบบราชการ
•
ระเบียบปฏิบัติที่เคร่งครัดเกินไป
ไม่ยืดหยุ่นทำให้งานล่าช้า ไม่เกิดความคิดสร้างสรรค์
•
การรวมศูนย์อำนาจ ทำให้ตัดสินใจล่าช้า
ไม่ทันเหตุการณ์และเทคโนโลยี
•
การมีสายการบังคับบัญชา
ทำให้เกิดการชิงดีชิงเด่น ประจบประแจง
•
การแบ่งงานตามความถนัดเป็นกลุ่ม
ทำให้เกิดการสร้างอาณาจักร
ทั้ง 3 ทฤษฏี มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
ความเหมือน
1. ด้านโครงสร้าง เน้นการแบ่งงานกันทำ การมีสายการบังคับบัญชา
กำหนดหน้าที่ของการบริหาร เน้นหลักการ
2. ด้านผู้ปฏิบัติ เหมือนเครื่องจักร เน้นสิ่งจูงใจด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในงาน
ความต้องปรับตัวเข้ากับงาน
3. ด้านผู้นำ ให้ความสำคัญกับบทบาทผู้นำ เอกภาพ ระบบคุณธรรม
เป้าหมายองค์กรสำคัญกว่าบุคคล
4. ด้านการตัดสินใจ เน้นความเป็นเหตุผล ประสิทธิภาพ กำไร
ความต่าง
Taylor : กำหนดวิธีการทำงานที่ดีที่สุด The one best way
Fayol : เน้นหลักการ 14
หลักการ
Weber : เน้นระเบียบข้อบังคับ
มีเกณฑ์ประเมินผล
ทัศนะเชิงพฤติกรรม (Behavioral viewpoint)
•
ทฤษฏีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก
•
การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น
•
ความเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์
•
หลักพฤติกรรมศาสตร์
1.ทฤษฏีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก (Early
behavioral theories)
Hugo Munsterberg บิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรม
ใช้หลักจิตวิทยาในการจำแนกคนงานให้เหมาะสมกับงาน
Mary Parker Follett นักปรัชญาแห่งเสรีภาพของบุคคล
เน้นสภาพแวดล้อมในการทำงานและการมีส่วนร่วม
2. การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne
studies)
การทดลองของบริษัท
เวสเทิร์น อิเล็กทริก ที่เมืองฮอว์ธร์น เพื่อศึกษาเกี่ยวกับผลของแสงไฟต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
ในช่วงท้ายของการทดลอง Elton
Mayo ร่วมทำการทดลอง สรุปข้อค้นพบว่า
- เงินไม่ใช้สิ่งจูงใจสำคัญเพียงอย่างเดียว
- กลุ่มไม่เป็นทางการมีอิทธิพลต่อองค์การ
3. การเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์ (Human
relation movement)
•
Abraham Maslow :
มาสโลว์ ทฤษฏีลำดับขั้นความต้องการ
•
Douglas
McGregor : แมคเกรเกอร์ ทฤษฏี X และทฤษฏี Y
ทฤษฏี X และทฤษฏี Y
เป็นสมมติฐานเกี่ยวกับทัศนะเกี่ยวกับผู้บริหารที่มีต่อคนงาน
ทัศนะของผู้บริหารจะส่งผลต่อพฤติกรรมการบริหารงานของเขาด้วย
เขาเห็นว่า องค์การแบบเดิม (รวมศูนย์
สื่อสารบนลงล่าง) ไม่ช่วยให้เกิดผลผลิต แต่สะท้อนธรรมชาติของมนุษย์ เรียกว่าทฤษฏี X
ทฤษฏี X
มองว่าคนไม่ชอบทำงาน
เลี่ยงความรับผิดชอบ
ไม่ทะเยอทะยาน ชอบให้สั่งการ ต้องใช้เงินจูงใจ
ต้องควบคุมมาก
ทฤษฏี Y มองว่า คนจะให้ความร่วมมือถ้าพอใจในสภาวะการทำงาน
คนขยันไว้ใจได้ ควบคุมตนเองได้
มีความคิดริเริ่มในการทำงาน ถ้าได้รับการจูงใจที่ถูกต้องจากเพื่อนร่วมงาน
คนจะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
4. หลักพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral science
approach)
•
เป็นการนำผลการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์
เพื่อพัฒนาทฤษฏีเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ จากศาสตร์ สาขาต่างๆ เมื่อ
•
นำไปทดสอบแล้วจะเสนอให้นักบริหารนำไปใช้ เช่น
ทฤษฏีการตั้งเป้าหมาย ของ Locke
ทัศนะเชิงปริมาณ
(Quantitative viewpoint)
•
การบริหารศาสตร์
•
การบริหารปฏิบัติการ
•
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร
1.การบริหารศาสตร์ (Management science)
•
มุ่งเพิ่มความมีประสิทธิผลในการตัดสินใจจากการใช้ตัวแบบคณิตศาสตร์และวิธีการเชิงสิติ
ซึ่งแพร่หลายได้รวดเร็วเนื่องจากความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างซับซ้อนมากขึ้น
2. การบริหารปฏิบัติการ (Operation
management)
•
ยึดหลักการบริหารกระบวนการผลิตและให้บริการ
•
กำหนดตารางการทำงาน
•
วางแผนการผลิต
•
การออกแบบอาคารสถานที่ การประกันคุณภาพ
•
การใช้เทคนิคเครื่องมือต่างๆ เช่น
เทคนิคการทำนายอนาคต
•
การวิเคราะห์รายการ ตัวแบบเครือข่ายการทำงาน
การวางแผน
และควบคุมโครงการ
3. ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร
(management Information System
สารสนเทศบริหารศาสตร์ MIS เน้นการนำเอาระบบข้อมูลสารสนเทศโดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ในการบริหาร
(Computer based information system : CBISs)
ทัศนะร่วมสมัย (Contemporary viewpoint)
ทฤษฏีเชิงระบบ
ทฤษฏีการบริหารตามสถานการณ์
ทัศนะที่เกิดขึ้นใหม่
1.ทฤษฏีเชิงระบบ (System theory)
รูปแบบการวิเคราะห์ระบบ
มุ่งเน้นกระบวนการมากกว่าผลผลิต
•
ประเมินประสิทธิภาพของระบบงาน
•
ประเมินเวลา
•
ประเมินการใช้งบประมาณ
•
ประเมินความถูกต้องของกระบวนการ
•
ประเมินผลผลิตหรือผลงาน
2. ทฤษฏีการบริหารตามสถานการณ์ (Contingency
theory)
หลักการบริหารงานที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์หนึ่งๆ
เท่านั้น
ในสถานการณ์ที่ต่างไป
ผู้บริหารอาจกำหนดหลักการจากการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของแต่ละสถานการณ์เพื่อกำหนดแนวทางให้เหมาะสมกับโครงสร้าง
เป้าหมายและผู้ปฏิบัติงานในองค์การ
3 ทัศนะที่เกิดขึ้นใหม่
ทฤษฏี Z ทฤษฏีการบริหารแบบญี่ปุ่น โดย
William Ouchi
โดยรวมหลักการบริหารแบบอเมริกันรวมกับแบบญี่ปุ่นมีหลักการสำคัญคือ
ความมั่นคงในงาน การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ รับผิดชอบปัจเจกบุคคล เลื่อนตำแหน่งช้า
ควบคุมไม่เป็นทางการ แต่วัดผลเป็นทางการ สนใจภาพรวมและครอบครัว
ภาพบรรยากาศในห้อง
การนำไปใช้
เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารสถานศึกษาให้เห็นข้อแตกต่าง การลงทุนการสร้างสถานศึกษา
ข้อมูลการใช้จ่ายภายในโรงเรียน
การประเมิน
ประเมินตนเอง
: แรกๆก็ตั้งใจฟังเพื่อที่จะเข้าใจ เนื้อมันยากก็จะเริ่ม งง เพราะเนื้อหามันเยอะเกินไป ทำให้รับรู้และเข้าใจได้น้อย
ประเมินเพื่อน
:เพื่อนตั้งใจเรียนบาง คุยกันบ้าง และช่วยกันตอบในเวลาเรียนได้อย่างดี
ประเมินอาจารย์
: อาจารย์สอนเข้าใจ และมีเท๕นิคการสอนที่ทำให้เห็นข้อแตกต่างในแต่ละสอง โรงเรียน ให้เห็นได้อย่างชัดเจน ทำให้วางแผนได้ดีขึ้น